(เกือบ)หลงป่า ม่อนสี่สหาย

บนยอดม่อนสี่สหาย

การเดินทางครั้งนี้เป้าหมายจริงๆคือม่อนจอง แต่ว่าปัญหาคือวันที่ว่างไปจองไม่ทัน!!! สุดท้ายเลยได้ไปม่อนสี่สหาย โดยไปจอยทริปกับเพจส่องรูดูวิว ทำให้ได้ประสบการณ์ที่การท่องเที่ยวแตกต่างจากครั้งที่ผ่านๆมา เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ไปเที่ยวพร้อมกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย

COVID-19 เจ้าปัญหา

ATK

ปัญหาคารังคาซังตั้งแต่ปลายปี 2019 จนถึงตอนนี้ ปี 2022 ก็ยังอยู่เหมือนเดิม จะใช้ชีวิตก็ลำบาก ทริปหลายทริปก็ต้องยกเลิกไปเพราะเจ้าโควิดนี้ หน้ากากอนามัยที่ใส่อยู่ตลอดเวลา จากที่ขาดตลาด ราคาแพง จนตอนนี้ไปไหนก็มีขายล้นตลาด วัคซีนที่ประสิทธิภาพดีเหลือกัน ผลแทรกซ้อนก็เยอะ แต่ก็ยังต้องใส่หน้ากากอีก ทำให้จากเดิมมีเพื่อนไปรวม 6 คน เหลือเป็น 5 คน เพราะคนใกล้ชิดติดโควิด แต่จนสุดท้ายวันเดินทางมีอีกคนที่ไม่สามารถไปได้ สรุปทำให้ทริปนี้เหลือเพื่อนที่รู้จักรวมกับตัวเองแล้วแค่ 4 คน

เตรียมตัวเดินทาง

การเตรียมตัวเดินทางในครั้งนี้ ดูจะมีปัญหาอย่างมาก เนื่องจากเพื่อนที่พักอาศัยอยู่ด้วยกันอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสโรค COVID-19 แล้วกลับมากักตัวที่หอ ทำให้ผมต้องย้ายตัวเองออกไปอยู่ที่บ้านญาติแต่ว่าข้าวของที่ต้องใช้ยังอยู่ที่หอ!!! เลยจำเป็นต้องเข้าไปเก็บของ ก็เลยคิดหนักว่าจะทำยังไงหล่ะทีนี้ สุดท้ายจบลงด้วยการเข้าไปเก็บของ โดยที่ให้เพื่อนไปรอที่ลานจอดรถ ปิดแอร์ ปิดพัดลม เปิดหน้าต่าง พร้อมกับ PPE + N95 + Mask + Gloves (เวอร์มาก 5555) เข้าไปเก็บของ เหงื่อไหลหยดเป็นสาย แว่นตาเต็มไปด้วยคราบเหงื่อ หน้ากากอนามัยกลายเป็นที่ซับเหงื่อมหาศาลจนชุ่ม ร้อนก็ร้อน เปิดแอร์ พัดลมก็ไม่ได้ แทบจะเป็นลมเลยทีเดียว พอเก็บข้าวของเสร็จก็เอาไปฝากที่ห้องเพื่อนก่อน เพราะไม่อยากไปรบกวนที่บ้านญาติ

การเดินทาง

เริ่มต้นออกเดินทางวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 นัดเจอกันที่ Big C สะพานควาย เวลา 20:30 เพื่อขึ้นรถตู้ไปพร้อมๆกัน การเดินทางครั้งนี้มีอยู่ 3 คน ที่อยู่เส้นทางเดียวกัน เลยหารค่าแท็กซี่ไปด้วยกัน โดยที่จุดที่นัดกันคือเกาะพหลฯ (อนุสาวรีย์ชัยฯ) ก็เลยหอบกระเป๋าสัมภาระ บวกกับเต็นท์อันเก่าที่เพื่อนจะยืม เดินไปยังอีกฟากหนึ่งของอนุสาวรีย์ชัยฯ สภาพคือพะรุงพรังอย่างมากเหมือนจะย้ายไปอยู่ในป่าสักเดือนนึง

รุ่งเช้าวันแรกของการเดินทาง

ตลอดระยะเวลาที่เดินทางมาทั้งคืน สิ่งที่ลำบากที่สุดคืออากาศที่หนาวเหน็บมากจนไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสบายตัว เสื้อกันหนาวที่เตรียมมาก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะไม่ได้คาดคิดว่าแอร์จะหนาวขนาดนี้ บวกกับเจอฝนตกระหว่างทาง ทำให้บรรยากาศหนาวยิ่งขึ้นไปอีก ตอนช่วงเช้ามีแวะซื้อของ พอลงมาจากรถก็รู้สึกได้ว่าอากาศด้านนอกรถช่างอบอุ่นกว่าด้านในรถมากๆ ทำให้แทบไม่อยากกลับเข้าไปในรถเลยทีเดียว

จนมาถึงที่ฟาร์มผู้ใหญ่ตี๋ซึ่งเป็นจุดรวมพลเพื่อเดินทางต่อไปยังอีกหลายดอย เช่น แม่ละเมา เขาเย็นพันแปด และจุดหมายที่เราจะไปนั่นคือ “ม่อนสี่สหาย” ขณะที่ไปถึงฟ้ายังมืดอยู่ ทำให้มีเวลาในการพักผ่อน เลยตัดสินใจกางถุงนอนไปนอนตรงด้านใน ซึ่งจุดนี้จะเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนมานอนพักผ่อนอยู่ตรงนี้ระหว่างรอเวลาเริ่มต้นการเดินทาง

บริเวณที่นักท่องเที่ยวกางถุงนอนนอนรอเวลา

เริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่สดใส ได้พักผ่อนที่ (ไม่) เต็มอิ่ม ก็ได้เวลาไปหาอะไรรองท้องก่อนเดินทาง ไปแวะหาอาหารเช้ากันที่ตลาด

ปลาท่องโก๋

ซื้ออาหารเสร็จเรียบร้อยก็กลับไปที่ฟาร์มผู้ใหญ่ตี๋เหมือนเดิม ระหว่างรอเวลาก็เก็บภาพบรรยากาศรอบๆฟาร์ม

จนกระทั่งเวลาประมาณ 9:30 น. ก็ได้เวลานั่งรถ 4-wheels ไปยังจุดเริ่มต้นการเดินเท้า ตรงนี้จะมีลูกหาบบริการอยู่ ค่าใช้จ่าย 60 บาทต่อกิโลกรัม ตอนแรกก็คิดหนักว่าจะให้ลูกหาบแบกให้หรือจะขนขึ้นไปเอง สุดท้ายก็ตัดสินใจแบกขึ้นไปเอง เพราะคิดว่าขนาดไปขุนตาลเรายังแบกกระเป๋าหนักกว่านี้ขึ้นไปได้เลย แค่นี้น่าจะไหว (เพราะซื้อเต็นท์กับถุงนอนใหม่ น้ำหนักหายไปเป็นกิโล)

ระหว่างทางก็เจอถนนลาดยาง ในใจก็คิดว่าทางไปดีจัง แต่ทว่าของจริงยังไม่เริ่มต่างหาก!!! พอเริ่มแล้วก็นั่งไม่อยู่กับที่เลยทีเดียว รู้สึกได้ว่าตัวลอยขึ้นมา สัมภาระที่มีทีท่าว่าจะร่วงใส่หัวต้องคอยประคองอยู่ตลอดเวลา ทำเอาเวียนหัวกันเลยทีเดียว

ระหว่างทาง ฟังจากเสียงก็ทำให้รู้ถึงเส้นทางที่ไม่ราบรื่น
กันสั่นในมือถือแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย!!!

เริ่มต้นเดินเท้า

นั่งรถผ่านไปสักพักก็ได้เวลาการเดินทางของจริงจะเริ่มขึ้น ลงจากรถและขนสัมภาระออกมา พร้อมเดินทาง

การเดินทางในช่วงแรกก็ไม่เหนื่อยสักเท่าไหร่ เดินไปเรื่อยๆชิลๆ แต่ทำไมทุกคนถึงเดินเร็วกันจัง (หรือเราเดินช้ากันเอง 5555) รู้ตัวอีกทีจากตอนแรกที่อยู่ต้นๆขบวน กลายมาอยู่ในกลุ่มท้ายซะงั้น (มีอยู่ 3 คน) เราเน้นเก็บภาพบรรยากาศริมทาง

แต่การที่เรามาอยู่กลุ่มท้ายกลับเป็นเรื่องดีซะอีก เพราะคนนำทางเค้ากลัวว่าพวกเราจะไปไม่ถูก เลยเดินตามหลังเรามาคอยบอกทางตลอด แต่กลุ่มที่เดินไปก่อนหน้านี้เลี้ยวผิดซอย เพราะมีทางแยกประมาณล้านแปดเส้นทาง ถ้าไม่มีคนนำและไม่คุ้นชินเส้นทางคือหลงแน่ๆ พอรู้ตัวว่าอีกกลุ่มหลงไปเส้นทางไหนก็ไม่รู้ คนนำทางก็บอกให้เรารออยู่เฉยๆ เพราะกลัวเราจะหลงไปอีกกลุ่ม พวกเราก็เชื่อฟังอย่างดี จนกระทั่งเกือบชั่วโมง กลุ่มที่หลงไปถึงเดินกลับมาถูก นั่งรอจนเมื่อยทีเดียว

ระหว่างที่รอกลุ่มแรกก็รู้สึกหิวแต่ว่าด้วยความที่เป็นห่วงเพื่อน คิดว่าเพื่อนที่หลงคงยังไม่มีเวลากินอาหารกลางวัน เลยรอกินอาหารกลางวันพร้อมๆกัน แต่ที่ไหนได้ เค้ากินกันไปหมดแล้ว!!! ไม่น่ารอเลยเรา TT

เติมพลังเสร็จก็ได้เวลาเดินทางต่อ หลังจากที่หยุดพักนานมากปัญหาที่เจอคือพอเริ่มออกเดินก็เริ่มเป็นตะคริว! เลยต้องค่อยๆย่องไปช้าๆ สักพักถึงจะดีขึ้น (ใครมาเดินเขานี่อย่านั่งพักนานนะ เตือนไว้ก่อน 55555)

ในที่สุดการเดินทางที่ยาวนานก็ได้ถึงปลายทางสักที เริ่มเดินทางตั้งแต่สิบโมงครึ่งจนถึงเกือบบ่ายสาม ใช้เวลารวมประมาณสี่ชั่วโมงกว่าๆเอง

ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา นอกจากจะเจอวิวภูเขาเรียงเป็นชั้นๆสวยงามแล้ว สิ่งหนึ่งที่เห็นตลอดทางคือขี้วัวนั่นเอง ดังนั้นเมื่อถึงลานกางเต็นท์เรียบร้อยแล้ว ภารกิจแรกคือการเคลียร์พื้นที่นั่นเอง

เคลียร์พิ้นที่เสร็จก็กางเต็นท์นอนพักผ่อน

บริเวณที่เลือกกางเต็นท์คือหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เพื่อที่จะได้ตื่นเช้ามารับแสงดวงตะวัน

เก็บภาพบรรยากาศได้ไม่นาน รู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืดซะแล้ว อากาศเริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับลมที่พัดอยู่เรื่อยๆ ทำให้บรรยากาศน่านอนอย่างมาก แต่ยังนอนไม่ได้เพราะตอนนี้ท้องเริ่มร้องแล้ว ก็ได้เวลาจัดแจงอาหารเย็น

ระหว่างมื้ออาหารเย็นก็ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ เป็นเรื่องที่แปลกดีนะที่ต่างคนต่างไม่รู้จัก ได้มารู้จักกัน พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทำให้พวกเราสนิทกันรวดเร็ว ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ตอนที่ไปเที่ยวคนเดียวมาหลายครั้งก็ได้พูดคุยกับคนแปลกหน้าบ้าง แต่ว่าไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน ไม่ได้ทำอะไรหลายๆอย่างร่วมกัน ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะสนิทกันเท่านี้

Bonfire

ตอนนี้สิ่งที่แปลกไปสำหรับทุกคนคือพบว่านาฬิกาของบางคนเดินไม่เท่ากัน แล้วคุยไปคุยมาทำให้ได้รู้ว่าบริเวณที่เราตั้งแคมป์กันอยู่นั่นตั้งอยู่ในประเทศพม่า ฉะนั้นจะนัดเวลาต้องดูให้ดีนะว่าเป็นเวลาของไทยหรือพม่า

Google Maps บอกว่าตอนนี้อยู่ประเทศพม่า

การนอนตอนกลางคืนบอกเลยว่าตื่นขึ้นมาบ่อยมาก เพราะอากาศที่ค่อนข้างเย็น ลมพัดแรง และที่สำคัญคือเลือกทำเลตั้งเต็นท์ที่เอียง รู้ตัวอีกทีคือทั้งตัวไหลลงมากองอยู่ปลายเท้าแล้ว เป็นอย่างงี้ทั้งคืน ดีนะที่ยังไม่เต็นท์ ไม่งั้นคือตื่นเช้ามาลงมาถึงด้านล่างเรียบร้อยแล้ว 😅

แสงแรกของวัน

ก่อนนอนได้ดูในแอพว่าดวงอาทิตย์ขึ้นประมาณ 6:21 น. ก็เลยตื่นแต่เช้ามาเพื่อดูแสงแรก แต่ปรากฎว่าเป็นเวลาของประเทศพม่า!!! บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ดูเวลาให้ดี 555555 สรุปคือขึ้นเกือบๆ 7 โมงเช้าเลย แต่การที่ตื่นเช้าก็ไม่ได้เสียเที่ยวซะทีเดียว เพราะภาพที่อยู่ตรงหน้าเต็นท์ทำให้รู้สึกคุ้มค่าที่ตื่นมา แสงสลัวๆ ลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามา เป็นบรรยากาศที่ยากจะลืมเลือน

Timelapse ดวงอาทิตย์ขึ้น (ลืมโฟกัสดวงอาทิตย์ TT)

เก็บภาพบรรยากาศจนพอใจแล้วก็ถึงเวลาอาหารเช้า ซึ่งก็คือ โกโก้ ซาลาเปา ขนมจีบ ไส้กรอก เติมพลังก่อนเดินทางกลับวันนี้

การเดินทางกลับที่แสนยาวไกล

จุดสูงสุดของม่อนสี่สหาย

ขาลงก็เหมือนกับขามาเลย คือตอนแรกยังเห็นทุกคนอยู่ แต่อีกไม่นานคนก็ค่อยๆเดินผ่านนำหน้าไปเรื่อยๆ อยู่ท้ายขบวนเช่นเคย 555

เดินไปก็มีคนเดินแซงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายคืออยู่ในป่าแบบเงียบสงัด ไม่มีเสียงผู้ร่วมเดินทางเลย พอเดินไปถึงทางแยกต่างคนก็สับสน ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี แต่ที่แน่ๆคือไปทางรถมอเตอร์ไซค์ไม่หลงแน่ๆ!!! ก็เลยเดินไปทางนั้นกัน แต่ทางนี่สิไม่ธรรมดา ชันมาก ก็คิดมาตลอดทางว่าเราเคยเดินทางแบบนี้มาด้วยหรอ พอผ่านทางนั้นมาคือเห็นพี่ลูกหาบโผล่มาอีกทางนึง เราสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ที่ผ่านมาคืออะไรรรรรรร

เวลาล่วงผ่านไปนานจนกระทั่งทีมที่ลงมาพร้อมกันไปถึงนานแล้ว เลยโทรไปหาว่าเมื่อไหร่จะถึงสักที ทางนู้นก็ถามว่าผ่านต้นสนมายัง นี่ก็ตอบไปอย่างมั่นใจว่าผ่านมาแล้วแน่ๆ แต่ทว่าที่ผ่านมาคือต้นสนที่เป็นทางรถมอเตอร์ไซค์ที่คนอื่นเค้าไม่ได้เดินผ่านมาก่อน !!! รอกันไปยาวๆ

คิดว่าเรื่องราวจะจบแค่นี้หรอ คุณคิดผิดแล้วแหละ เรามาถึงทางแยกแปลกๆอีกทาง ที่ไม่รู้จริงๆว่าจะไปทางไหน แต่นี่ได้ยินเสียงกลุ่มคนเดินมา เลยบอกให้เพื่อนหยุดรอก่อน แต่เพื่อนไม่ได้ยิน!!! เลยขอเดินไปสำรวจเส้นทางก่อน ไปไกลจนถึงไหนไม่รู้ จนกระทั่งกลุ่มนั้นเดินมาเห็นเราอยู่ไกลๆ โบกมือเรียกบอกว่าทางนี้ๆ คือต้องเดินย้อนไปเกือบ 200 เมตรได้ 555555 แล้วผู้บุกเบิกเส้นทางของเราไปไหนแล้วไม่รู้ 😅 (ถ้ายังจำกันได้คือหัวหน้าทีมที่หุงข้าวให้ลูกน้องในทริปดอยขุนตาลนั่นแหละ) เรียกไปคือไม่ได้ยินเสียงตอบกลับแล้ว แต่ยังโชคดีที่สัญญาณมือถือใช้ได้ เลยโทรเรียกกลับมา

จนกระทั่งมาถึงจุดขึ้นรถกลับของเรา ทีมที่มาก่อนคือรอเราไปอยู่ชั่วโมงครึ่ง สงสารเลย คือเราไปเส้นทางที่ปกติชาวบ้านเค้าไม่เดินกัน กลัวหลงเลยไปทางรถมอเตอร์ไซค์ที่คิดว่าไม่หลงแน่ๆ ก็น่าแปลกดีนะที่เริ่มต้นเดินทางกลับกลุ่มแรก แต่ไปถึงกลุ่มสุดท้าย 🤣🤣🤣

เดินทางกลับไปยังบ้านผู้ใหญ๋ตี๋ สภาพคือ เพลียมาก เผลอหลับไประหว่างทาง แต่แดดก็ไม่ธรรมดา รู้สึกแสบแขนมาก ขนาดที่ว่ามีปลอกแขนแล้วยังแทบไม่ช่วย

มาถึงบ้านผู้ใหญ่ตี๋แล้วก็กินอาหาร อาบน้ำให้เรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ถึงเวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม ของวันที่ 13 ก.พ. 2565 นอนเตรียมตัวลงคลินิกอย่างหนักหน่วงทั้งวันในวันรุ่งขึ้น

สรุปการเดินทาง

  • การเดินทางครั้งนี้เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 2,900 บาท รวมค่าอาหาร ค่าเดินทาง ทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นทริปแรกที่ไม่ต้องจัดการวางแผนทริปด้วยตัวเอง
  • อย่ามัวแต่ชมวิวนานเกิน เดี๋ยวจะหลงทางเอานะ
  • จะนัดเวลาก็ดูเวลาให้ดีก่อน ไม่งั้นจะพากันงงได้ เพราะเวลาไม่ตรงกัน
  • สิ่งที่ต้องเตรียมคือครีมกันแดดดีๆ เพราะกลับมาแล้วผิวกลายเป็น 3 โทน เลยทีเดียว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *