อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล

Destination is not as important as the Journey

someone said
ภาพพระอาทิตย์ตก ณ จุดชมวิว ย.2

ทริปนี้ได้วางแผนกันมาหลายเดือนว่าจะไปด้วยกันหลายคน แต่สุดท้ายแล้วเหลือแค่ผมและเพื่อนอีก 2 คนที่มาร่วมทาง โดยวางแผนไว้ว่าจะใช้เวลาบนอุทยานฯ 1 คืน นอนบนรถไฟขาไป-กลับ อีกอย่างละ 1 คืน เริ่มออกเดินทางวันที่ 3 ธันวาคม 2564 เวลาประมาณ 19:35 น. และกลับมาถึงวันที่ 6 ธันวาคม 2564 เวลา 7:30

ก่อนวันที่จะออกเดินทาง ได้อ่านประกาศของทางอุทยานฯ ว่าจำเป็นต้องมีผลการตรวจ COVID-19 ภายใน 72 ชั่วโมง ดังนั้น เรื่องราววุ่นๆจึงเกิดขึ้น

เมื่อจำเป็นต้องตรวจ ATK จึงมีเวลาแค่ 2 วันในการหาผลตรวจออกมาให้ได้คือวันที่ 2 และ 3 ธันวาคม แต่ว่าวันที่ 3 มีเรียนจนถึงสี่โมงเย็นและต้องกลับไปเตรียมของออกเดินทางอีก ดังนั้นจึงเหลือเพียงตัวเลือกเดียว คือวันที่ 2 ธันวาคม 2564

วันนั้นเลิกคลินิกตอนเช้าเร็ว เลยตั้งใจว่าจะไปตรวจที่ รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน แต่เมื่อเพื่อนไปตรวจแล้วราคาเกือบพัน ด้วยความประหยัด (จริงๆคืองก 5555) เลยหาทางเลือกอื่น สุดท้ายได้ไปตรวจที่ รพ.บางปะกอก 3 ที่มีค่าตรวจแค่ 300 บาท ถึงจะค่อนข้างไกลกับบริเวณที่พัก แต่พอบวกกับค่าแท็กซี่ไปกลับแล้วยังมีราคาถูกกว่า เลยได้ไปตรวจที่นี่

เริ่มต้นการเดินทาง

การเดินทางของพวกเราเริ่มต้นที่สถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะได้มาขึ้นรถไฟที่สถานีนี้ เนื่องจากจะมีการย้ายไปสถานีบางซื่อ ดังนั้นขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเป็นครั้งสุดท้าย

เดินทางด้วยรถไฟขบวน 13 ชั้น 2 (เตียงนอน) เวลาที่ออก 19:35 แต่ได้ออกจริงๆคือประมาณ 19:45 ตามสไตล์รถไฟไทย ค่าโดยสารครั้งนี้อยู่ที่ 818 บาท (เตียงล่าง) และ 748 บาท (เตียงบน)

ระหว่างทางในช่วงเช้าของอีกวัน ก็ได้ถ่ายภาพบรรยากาศสถานที่ที่รถไฟผ่าน สถานีรถไฟ บรรยากาศชวนให้ลืมความเหนื่อยล้าจากการเรียน และการเตรียมตัวสอบใบประกอบไปชั่วขณะหนึ่ง

จนถึงเวลาเกือบๆ 8:20 ก็เดินทางมาถึงสถานีขุนตาน ช้ากว่าเวลาที่กำหนด 7:30 น. (เกือบๆชั่วโมง)

จากนั้นก็แวะทานอาหารเช้ารองท้องให้อิ่มก่อนเริ่มเดินทางไปยังอุทยานฯ ระหว่างทางขึ้นไปอุทยานค่อนข้างชัน ทำให้เหนื่อยมากเลยไม่ค่อยได้ชมบรรยากาศของธรรมชาติมากนัก

ถึงอุทยานแห่งชาติขุนตาล

ในที่สุดก็เดินทางมาจนถึงหน้าอุทยานฯ แต่เดี๋ยวก่อน ระยะทางที่เริ่มนับเป็น กม.ที่ 0 ยังไม่ใช่จุดนี้ ที่เหนื่อยมาตลอดทางคือยังไม่ถึง ก็ได้จ่ายค่าเข้าอุทยานคนละ 10 บาท และค่ากางเต็นท์อีกคนละ 30 บาท พร้อมยื่นผลตรวจ ATK

บริเวณหน้าอุทยานฯ

เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องมาถ่ายรูปที่เมื่อมาเยือนที่นี่แล้วไม่ถ่ายไม่ได้ คือสัญลักษณ์ที่แบ่งแยกระหว่าง 2 จังหวัด คือ ลำปาง และลำพูน

เส้นแสดงรอยต่อระหว่าง 2 จังหวัด

อุทยานแห่งชาติขุนตาล สะกดด้วย “ล” แต่ถ้าสะกดเป็น “ขุนตาน” จะหมายถึงชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งและเป็นชื่อของสถานีรถไฟ

พอจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางต่อไปยังจุดเริ่มต้น กิโลเมตรที่ 0 ของการเดินทาง

ลานชมดาว บริเวณนี้นักท่องเที่ยวสามารถกางเต็นท์ได้ อยู่ติดกับที่ทำการอุทยาน

ระหว่างทางที่เดิน ก็มีทั้งทางเดินธรรมชาติ และตัดผ่านถนนบ้างบางครั้ง

กิโลเมตรที่ 0

การเดินทางที่แสนยาวนานเพิ่งจะเริ่มต้นที่จุดๆนี้ บริเวณนี้จะมีเจ้าหน้าที่เก็บบัตรประชาชนของนักท่องเที่ยวไว้ แล้วให้มารับคืนในวันกลับพร้อมกับนำถุงขยะลงมาทิ้งด้านล่างด้วย เพราะด้านบนไม่มีถังขยะ

ระหว่างทางแทบไม่ได้ถ่ายรูปเลย เพราะมัวแต่เหนื่อยกับการปีนขึ้นบวกกับไม่ได้ออกกำลังกายมานาน เลยไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงสักเท่าไหร่ ทางเดินมีทั้งทางธรรมชาติ และเส้นทางที่มีการสร้างบันได้ไว้

ลานกางเต็นท์ ย.2

ในที่สุดก็เดินทางมาถึง จุดยุทธศาสตร์ที่ 2 (ย. 2) ด้วยความเหน็ดเหนื่อย แค่เห็นป้ายว่าจุดกางเต็นท์อีก 50 เมตร ก็รู้สึกน้ำตาจะไหลออกมา แต่ที่ไหนได้ เป็น 50 เมตรที่ไม่ธรรมดา!! เพราะทางเดินที่ขึ้นไปค่อนข้างชัน การเดินขึ้นค่อนข้างลำบาก บวกกับสัมภาระที่หนักเกือบ 17 กิโล ถ้าลื่นมาทีนี่ไม่อยากจะคิดว่าจะเป็นยังไง แต่สุดท้ายก็มาถึงลานกางเต็นท์อย่างปลอดภัย

พอถึงแล้วก็หาพื้นที่กางเต็นท์กัน นักท่องเที่ยวที่มาค่อนข้างน้อยกว่าที่คาดไว้ อาจจะเป็นเพราะเงื่อนไขในการตรวจ ATK ทำให้หลายคนไม่สะดวกในการเดินทางมา

บริเวณกางเต็นท์

ด้วยความเพลียเลยนอนพักเอาแรงสักครู่หนึ่ง ระหว่างที่นอนก็จะมีน้องมาอยู่ใกล้ๆ เลยแวะถ่ายรูปน้อง

น้ำตกตาดเหมย

หลังจากนอนพักได้แป๊บเดียว ก็เป็นเวลาเกือบ 4 โมงเย็นแล้ว จึงออกเดินทางไปชมน้ำตกตาดเหมย ซึ่งอยู่ระหว่าง ย.2 และ ย.3 ใช้เวลาเดินเท้าประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง

ตรงนี้แอบเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้ลงไปถึงด้านล่างของน้ำตก วิวน่าจะสวยกว่านี้ เพราะว่ากลัวว่าจะกลับไปที่ลานกางเต็นท์ดึกเกินไป บวกกับความขี้เกียจ 5555

พระอาทิตย์ตกดิน

ก่อนทางที่จะไปถึงจุดกางเต็นท์ จะมีบริเวณชมวิวให้ดู เราก็มีจุดมุ่งหมายว่าไปดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็นก่อนที่จะกลับไปทำอาหารกิน อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ บวกกับบรรยากาศและทิวทัศน์ที่สวยงาม รู้สึกว่าความเหนื่อยที่ผ่านมาก็คุ้มค่าแล้ว ภาพที่ถ่ายได้ออกมากลับไม่สามารถถ่ายทอดความสวยงามได้เท่ากับสิ่งที่ตาเห็น

อาหารมื้อเย็นแบบงงๆ

ตอนเย็นก็ได้เวลาหาอาหารกิน สิ่งที่เตรียมมากันวันนี้คือข้าวสาร และอาหารสำเร็จรูป แต่ทว่า ไม่มีใครหุงข้าวแบบเช็ดน้ำเป็นเลยสักคน!!! ทำยังไงละทีนี้ ก็เลยเปิด google ค้นหาวิธีการหุง แต่เน็ตบนลานกางเต็นท์ช่างดีเหลือเกิน กว่าจะเปิดได้คือหม้อเกือบจะไหม้ไปแล้ว แต่สุดท้ายเพื่อนก็สามารถหุงข้าวได้สำเร็จ ส่วนผมก็คอยนั่งให้กำลังใจและส่องไฟให้อยู่ใกล้ๆ

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ข้าวสุก ก็ได้เวลาอุ่นอาหารสำเร็จรูป แต่ด้วยความที่อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ต้มน้ำกว่าจะเดือดคือใช้เวลานานมากๆ พออาหารอุ่นได้ที่แล้วยกลงจากเตาไม่ถึง 5 นาที อาหารก็เย็นชืดไปเรียบร้อยแล้ว ลมพัดมาเรื่อยๆ หนาวทั้งกายและใจ จนสุดท้ายทนไม่ไหวเลยไปนั่งกินข้าวกันในเต็นท์ พอกินข้าวเสร็จอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือโอวัลตินร้อนๆ แต่อากาศเย็นมาก สิ่งที่ทำคือเอาตัวอยู่ในเต็นท์แล้วยื่นมือออกไปชงน้ำร้อน ตอนนี้ไม่ได้ถ่ายภาพมา แต่อยากให้เห็นถึงความพยายามมาก 555555

หลังจากทานอาหารเสร็จก็ไปล้างจานท่ามกลางอากาศที่เกินจะทน ขณะที่น้ำกระทบโดนมือก็รู้สึกสะดุ้งไปทั้งตัว กว่าจะล้างจานเสร็จก็ใช้เวลาสักพักใหญ่กันเลยทีเดียว จากนั้นก็จัดแจงทำธุระส่วนตัว แปรงฟัน ล้างหน้า เสร็จเรียบร้อยแล้วต่างคนต่างแยกย้ายเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องออกตั้งแต่ตีสี่เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดยุทธศาสตร์ที่ 4 (ย.4)

ดาวในตอนกลางคืน (ลืมโฟกัสรูป)

ไม่อยากตื่นเลย

ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว หลับๆอยู่ก็มีสะดุ้งตื่นเพราะความหนาวเย็น ถึงแม้จะมีถุงนอนกับที่รองนอนมาช่วยแล้ว ก็ไม่อาจต้านทานความหนาวที่อุณหภูมิ 10 กว่าๆองศาเซลเซียสได้ แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอนตีสามครึ่ง เป็นเวลาที่ต้องตื่นได้แล้ว พอเตรียมจะไปล้างหน้าแปรงฟัน เปิดเต็นท์ออกมามีน้องมานอนหนาวอยู่หน้าเต็นท์

และสิ่งที่ขาดไม่ได้เหมือนเดิมคือโอวัลตินร้อนๆท่ามกลางบรรยากาศหนาวเหน็บ ใช้เทคนิคเหมือนเดิมคือต้มน้ำร้อนหน้าเต็นท์ ตัวอยู่ในเต็นท์ ที่เพิ่มเติมคือทำโอวัลตินที่ชงแล้วหกหน้าเต็นท์ 55555 ดีนะที่ไม่หกในเต็นท์ ไม่งั้นสนุกแน่

จะหนาวเหน็บหนาวเพียงไหนจะฝ่าไป

อุณหภูมิตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 10 องศาเซลเซียส แต่ก็ต้องเริ่มออกเดินทางแล้ว เพราะตอนนี้ตีสี่กว่าๆแล้ว ถ้าช้ากว่านี้ก็คงจะไปไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นแน่ๆ ก็ฝ่าความหนาวออกไป แต่ระหว่างเดินทางไปได้สักพักก็รู้สึกว่าเหงื่อเริ่มท่วมตัว สุดท้ายเสื้อกันหนาวที่ใส่มาก็ถอดออกไป เดินไปเรื่อยๆ ความหิวเริ่มเข้ามาเยือนเพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ได้แต่กินโอวัลตินอย่างเดียวที่ไม่อาจทำให้อิ่มท้องได้ โชคดีที่เพื่อนพกของหวานมาเพิ่มน้ำตาลในเลือดให้เดินทางต่อไปได้

สถานีสุดท้ายก่อนถึงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น

เดินทางจนมาถึงสถานีสุดท้าย ก็ได้เจอนักท่องเที่ยวมากมาย เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างนักท่องเที่ยวด้วยกันเอง ทั้งคนที่มาคนเดียว หรือมาเป็นกลุ่ม ก็ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆมากมาย นั่งพักสักแป๊บแล้วก็เดินทางขึ้นบันไดสุดท้ายก่อนที่จะถึงจุดชมวิว

ทางเข้าจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น

แสงแรกของวัน

ในที่สุดการเดินทางที่แสนเหน็ดเหนื่อยท่ามกลางอากาศที่หนาวจับใจก็มาถึงปลายทางแล้ว ก็เลยมาจับจองพื้นที่ในการชมพระอาทิตย์ขึ้น จนถึงเวลาที่จะได้เห็นแสงแรกของวัน

Timelapse (พระอาทิตย์ขึ้นที่ 0:30)

ณ นาทีนี้ ต่อให้คุณมีกล้องที่ดีที่สุดในโลก ก็ไม่สามารถถ่ายทอดภาพบรรยากาศ ความรู้สึก ผู้คน ความสวยงามของธรรมชาติ ออกมาได้อย่างสมจริงอย่างที่ตาเห็น และสมองรับรู้ ได้เพียงแต่เก็บบันทึกภาพเหล่านั้นไว้เป็นความทรงจำที่สวยงาม และถือเป็นจุดมุ่งหมายของทุกการเดินทางที่ผ่านมา และการเดินทางที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

-CS-
ภาพพระอาทิตย์ที่เพิ่งจะพ้นเส้นขอบฟ้าออกมา
จุดที่มาแล้วไม่ถ่ายรูปไม่ได้

กลับไปเก็บของ

เก็บภาพบรรยากาศที่จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลากลับไปทำอาหารเช้ากิน และเก็บของเตรียมตัวกลับ ระหว่างทางที่กลับ มีแสงสว่างขึ้นมาต่างจากขามาที่มองเห็นแค่ด้านหน้าของตัวเองแค่ไม่กี่เมตร กับพื้นที่เหยียบอยู่ ทำให้เห็นบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม มีต้นไม้ ดอกไม้หลายชนิด (ที่ไม่รู้จักชื่อ)

กลับไปถึงแล้วก็ต้องหาอาหารกิน เพราะหิวมาก!!! ท้องร้องเป็นจังหวะสามช่าแล้วตอนนี้ เลยมอบหมายให้หัวหน้าทีมทำอาหารของทริปนี้หุงข้าวให้เพื่อนๆเหมือนเดิม อาหารของเราวันนี้เก็เหมือนเดิม คือ อาหารสำเร็จรูปนั่นเอง

ทานอาหารเสร็จเรียบร้อย เก็บของ แล้วออกเดินทางกลับ

เส้นทางที่เคยผ่านมาแล้ว แต่เหมือนไม่เคยเจอมาก่อน

ระหว่างทางกลับส่วนใหญ่เป็นทางลงเขา ทำให้ไม่เหนื่อยจากการเดินทางมากนัก เลยมีเวลาในการชมธรรมชาติ พบว่าเส้นทางเดินมีบรรยากาศที่สวยงามมาก แต่ขามากลับไม่ได้สังเกตเห็นความสวยงามเหล่านี้ เพราะตอนนั้นความเหนื่อยล้าส่งผลให้มุ่งแต่จะให้ถึงปลายทางเพียงอย่างเดียว

เมื่อลงมาถึงสถานีรถไฟก็ซื้อตั๋วไปสถานีลำพูน แล้วไปหาอาหารกลางวันกินก่อนที่จะเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป

หมูกระเทียมไข่ดาว

มีเวลาเหลือนิดหน่อยแวะชั่งน้ำหนักกระเป๋าและเก็บภาพบรรยากาศบริเวณสถานีรถไฟขุนตาน

น้ำหนักกระเป๋าขากลับ 15 กิโลกว่าๆ

เมืองหละปูน (ลำพูน)

เวลาผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง ก็ได้ถึงสถานีรถไฟลำพูน แผนการเดินทางวันนี้คือ “ไม่มีแผน” ทุกคนแค่อยากไปเที่ยวเพื่อรอเวลาขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ เลยได้ถามพี่วินที่อยู่ตรงนั้น แล้วได้จุดหมายแรกคือ วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร แต่ก่อนจะแวะเข้าวัดได้เห็นป้ายจัดงานก็เลยแวะไปเดินงานมหกรรมวิถีชุมชนฯก่อน

จากนั้นก็ได้เวลาเข้าวัด

จนถึงช่วงเย็นๆก็แวะไปซื้ออาหารเย็นที่ตลาดวัดไชยนึก ของกินเยอะมากจนเลือกไม่ถูก แต่สุดท้ายไปจบที่เบอเกอร์ไก่ทอด + บะหมี่เกี๊ยว

เดินทางกลับ

ใกล้เวลารถไฟออกแล้ว จึงโทรเรียกพี่วินที่เพื่อนขอเบอร์ไว้ตั้งแต่ขามา จนเดินทางถึงสถานีรถไฟลำพูนที่เดิมนี่เอง แต่ว่ายังเหลือเวลาอีกสักพักก่อนรถไฟจะมา เลยได้จัดแจงถ่ายภาพเป็นที่ระลึกก่อนขึ้นรถไฟ

จนกระทั่งรถไฟมาถึงที่สถานี (เกือบ) ตรงเวลา ก็ได้เวลาเดินทางกลับด้วยรถไฟด่วนพิเศษอุตราวิถี

สรุปค่าใช้จ่าย

  • ตั๋วรถไฟขาไป (ด่วนพิเศษ ขบวนที่ 13) 818 บาท
  • ตั๋วรถไฟขากลับ (ด่วนพิเศษอุตราวิถี ขบวนที่ 10) 1033 บาท
  • ตั๋วรถไฟชานเมืองไปสถานีลำพูน 10 บาท
  • ตรวจ ATK 300 บาท
  • อาหารสำเร็จรูป 240 บาท (กิน 3 คน)
  • ค่าเข้าอุทยาน 10 บาท
  • ค่ากางเต็นท์อุทยาน 30 บาท
  • วินมอเตอร์ไซค์ ไป-กลับ 80 บาท
  • อาหารตลอดการเดินทาง ประมาณ 300 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 2,661 บาท แต่จริงๆหมดไปเยอะกว่านี้มาก เพราะต้องซื้อกระเป๋าเดินทางใหม่ ที่รองนอน และของจิปาถะอีกมากมาย ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้านะครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *